[Fic. Attack On Titan] Untitled [RivaillexEren ; G]
เมื่อเอเลนตายจากไป...แต่...จะเป็นอย่างนั้นจริงเหรอ? [RivaillexEren ; G]
ผู้เข้าชมรวม
2,786
ผู้เข้าชมเดือนนี้
8
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Title : Untitled
Author : Sinnerdarker
Paring : RivaillexEren
Rating : G
ปวดตับ คำเดียวเท่านั้น
++++++++++++++++++++++++++++++
“จากหลักฐานดังกล่าว เราคงไม่มีคำสรุปใดแน่นอนไปกว่าที่ว่า..เอเลนได้ตายไปแล้ว”
เสียงสงบดังขึ้นจากชายผู้เป็นหัวหน้าหน่วยสำรวจ ดวงตาของเขาทอความเศร้าเพียงเล็กน้อยด้วยไม่ผูกพันกับเด็กหนุ่มผู้มีร่างแปลงเป็นไททันมากนัก ก่อนจะวางเอกสารในมือลงกับโต๊ะ และเงยหน้าขึ้นมองเหล่าลูกน้องในหน่วยสำรวจทุกคน
ความเงียบครอบคลุมไปทั่วห้องทรงสี่เหลี่ยมซึ่งเป็นสถานที่ประชุมชั่วคราวของหน่วยสำรวจ ใบหน้าของแต่ละคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก โดยเฉพาะเหล่ารุ่นที่ 104 ซึ่งบางคนเริ่มทำหน้าอยากจะร้องไห้เต็มแก่ “อะไรกัน…เอเลนคุง”คริสต้าพึมพำขึ้นมา นัยน์ตาไหวระริกจนเหมือนจะมีหยาดน้ำตาหยดลงมา ยูมิลที่ยืนอยู่ข้างกันจึงตบลงบนไหล่เพื่อนสนิท แล้วดึงเข้ามาลูบเบาๆ
“อย่างหมอนั่นน่ะนะจะตาย..”แจนพึมพำขึ้น ดูหมือนจะช๊อคไม่ต่างกับคนที่เหลือมากนัก บรรยากาศแห่งความเศร้าเริ่มหนักหน่วง กระทั่งเอลวินต้องกล่าวขึ้นมาเพื่อปลุกสติของทุกคน
“..ถึงจะใจหายหรือเสียใจยังไง เรื่องการตายจากของพวกพ้องก็เป็นเรื่องที่จะทำให้เราหยุดอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ดังนั้น….”“แน่ใจแล้วเหรอคะ”
เสียงหวานแหบของเด็กสาวคนหนึ่งดังผ่าขึ้นมา ขัดประโยคที่กำลังทอดออกไปของเอลวิน เรียกสายตาของทุกคนให้หันไปมองอย่างรวดเร็ว
เอลวินชะงัก พร้อมกันหันใบหน้าไปมองเด็กสาวที่ยืนขึ้นด้วยสีหน้านิ่ง..ติดจะเคร่งขรึม และเอ่ยถามขึ้นเสียงเรียบ “หมายความว่ายังไง มิคาสะ แอกเกอร์แมน”
“ทำไมถึงคิดว่าเอเลนตายไปแล้วคะ” ใบหน้าของมิคาสะเรียบนิ่ง ทว่าดวงตาสีดำมองชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าหน่วยอย่างเอาเรื่อง “ฉันไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเอเลนตายแล้ว เอเลนเคยรอดชีวิตมายังไง ฉันก็ยังเชื่อแบบนั้น”
“จริงด้วยครับ!”เด็กหนุ่มอีกคนเอ่ยขึ้นเสียงดังพร้อมลุกขึ้นยืน เส้นผมสีทองตัดสั้นเรียงตัวลงล้อมกรอบใบหน้าอย่างเรียบร้อย ดวงตาสีฟ้ามองไปทางหัวหน้าหน่วยและเอ่ยต่อ “เราไม่เห็นศพของเอเลนด้วยซ้ำ ดังนั้นเรื่องที่ว่าเอเลนตาย….บางทีอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้นะครับ!”
“โดนกินลงท้องไปแล้วมันจะหาศพเจอไหมล่ะ”เสียงทุ้มราบเรียบ ติดจะระคายหูดังขึ้นจากข้างร่างของหัวหน้าหน่วย เรียกสายตาของเด็กใหม่แห่งหน่วยสำรวจทั้งสองคนหันขวับไปที่ร่างนั้น และพบกับชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีเทาที่กำลังกอดอกและส่งสายตาหงุดหงิดมาให้ “หรือถ้าอยากยืนยันนัก..จะไปผ่าท้องไททันออกมาก็ได้ แต่จะตัวไหนฉันก็ไม่รู้หรอกนะ”
“ถึงจะบอกว่าถูกกินลงไป..แล้วคุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าเอเลนตายไปแล้วจริงๆ! ในเมื่อไม่มีหลักฐานอะไรเลย!”มิคาสะยังคงคัดค้านต่อไป ดวงตาจ้องเขม็งมองชายหนุ่มร่างเตี้ยที่กอดอกจ้องมองมาทางเธอไม่ต่างกัน รีไวล์ลุกขึ้นยืนพร้อมวางแขนท้าวลงบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ..ใจเย็น และกดดัน
“ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานว่าเอเลนตาย ก็ไม่มีหลักฐานว่ามีชีวิตอยู่ ถ้าแน่ชัดว่าเขาถูกพาตัวไป ก็ยังพอจะตามรอยได้ แต่นี่ไม่มีหลักฐานอะไรทั้งนั้น พวกเราไม่มีเวลาว่างพอจะตามสืบเรื่องพรรค์นี้หรอกนะ”รีไวล์ว่าจบก็หรี่ตาลง “..หรือเธอจะออกไปตามสืบเองคนเดียวก็ได้ แต่ก็คงตายเปล่านั่นล่ะ”
มิคาสะชะงักกับคำพูดนั้น ก่อนกำหมัดแน่นและก้มหน้าลงมองพื้น ร่างกายสั่นระริก เด็กสาวรู้ดีว่าตนไม่มีทางตามหาเอเลนได้ด้วยตัวคนเดียว และจะตายเปล่าอย่างที่ชายหนุ่มตรงหน้าพูด
ทว่ามิคาสะมีชีวิตอยู่เพื่อเอเลน…เธอไม่ต้องการอะไรในโลกนี้นอกจากเอเลน ถึงแม้เธอจะเคยบอกตัวเอง..ว่าถึงเอเลนตายก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป..
แต่มันช่างยากเหลือเกินเมื่อครึ่งหนึ่งในชีวิตของเธอได้จากหายไปเสียแล้ว
มิคาสะกัดริมฝีปาก ใบหน้าซีดเซียวลงยิ่งกว่าเก่า ก่อนจะนั่งลงโดยไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ
“มิคาสะ ฉันไม่อยากพูดหรอกนะ”เอลวินเอ่ยกับเด็กสาวด้วยสีหน้าจนใจ “แต่..ความเป็นไปได้ที่เอเลนจะตายแล้วสูงมากจริงๆ เขาออกไปต่อสู้คนเดียวโดยไม่ฟังคำสั่ง คนที่ตามไปทีหลังก็เห็นว่าเขาหลุดลงไปในท้องไททันกับตา อันที่จริงฉันเองยังคิดอยู่ว่าเขาอาจจะแปลงเป็นไททันแล้วหนีไปได้…แต่…มันยากมากจริงๆ”
เอลวินเอ่ยพร้อมกับมองเอกสารในมือตน ทบทวนเนื้อหารายงานเผื่อว่าการสรุปผลของเขาจะผิดพลาด ด้วยตนก็ไม่มีวคามคิดจะเสียทหารคนสำคัญไปเฉกเช่นกัน เสียงอื้ออึงพูดคุยดังขึ้นและดำเนินไปซักพักเมื่อหัวหน้าเอลวินกำลังสาละวนกับการตรวจสอบรายงานใหม่อีกครั้ง ก่อนที่ทุกอย่างชะงักเมื่อมีทหารนายหนึ่งขออนุญาติเข้ามาในห้อง และเดินมากระซิบข้างหู เม่อฟังจบ เอลวินก็เบิกตากว้างก่อนเปลี่ยนเป็นสีหน้ากังวล..ร้อนรนใจ
สิ่งนั้นทำให้มิคาสะสะดุดกึก ลางสังหรณ์บอกเด็กสาวว่าสิ่งที่จะหลุดออกจากปากหัวหน้าหน่วยสำรวจต้องไม่ใช่ส่งที่ทำให้เธอรู้สึกดีไปกว่าเดิม
“เมื่อครู่..” เอลวินกระแอมแผ่วเบา และเร่งเสียงให้ดังกว่าเดิม “มีคนบอกว่าพบเศษชิ้นส่วนที่คาดว่าจะเป็นของเอเลน..เราจะเร่งตรวจสอบเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด เลิกประชุม!!”ว่าจบ ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของเส้นผมสีทองตัดสั้นเกรียนก็ลุกขึ้น ก่อนเดินตามหลังนายทหารที่เข้ามาแจ้งข่าวไปอย่างรวดเร็ว รีไวล์และบรรดารุ่นใหญ่ต่างออกเดินตามออกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ทหารรุ่นที่ 104 ทุกคนในหน่วยสำรวจซึ่งนั่งฟังการประชุมยังคงนั่งนิ่ง พร้อมบรรยากาศอึมครึมที่ยังคงโรยตัวอยู่รอบบริเวณ
“…หมอนั่น..ตายแล้วจริงๆ..สินะ..”แจนเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้นมาด้วยดวงตาเหม่อลอย “ทั้งๆ ที่…มันไม่น่าจะตายแท้ๆ”
“ถึงจะบอกว่าเจอเศษชิ้นส่วน แต่ก็อาจจะเป็นก่อนที่เอเลนจะแปลงร่างเป็นไททันไม่ใช่เหรอ?”อาร์มินเอ่ยขัดขึ้น พยายามจะไล่คว้าความหวังที่หลงเหลืออยู่น้อยเต็มที..ว่าเพื่อนรักของตนยังมีชีวิตอยู่ “เพราะงั้น เอเลนอาจจะสลบอยู่ที่ไหนซักแห่งก็ได้”
“ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริง.. ตอนนี้เอเลนก็อยู่ในสภาพหายสาบสูญล่ะนะ ถึงยังไม่รู้ว่าตายจริงหรือเปล่าก็ตามที”ยูมิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างไม่ใส่ใจนัก ในขณะที่มือยังคงลูบอยู่บนศีรษะของเด็กสาวผมทองผู้อ่อนหวาน “อีกอย่าง เรื่องที่เพื่อนจะตายจากไปก็เป็นเรื่องธรรมดา ..ศึกครั้งแรกของเรา ก็สูญเสียคนสำคัญไปมากมายไม่ใช่เหรอ?”
“แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้นี่ ว่าเราไม่มีเคยมีใครคิดว่าเอเลนจะตาย” ซาซ่าเคียวขนมปังเงียบๆ ด้วยความเร็วที่ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด “ก็..หมอนั่น..เป็นแบบนั้นน่ะ..”
เป็นพวกต่อสู้ ทะลุดุดัน ดูเหมือนจะไม่ตายเอาง่ายๆ
แต่สุดท้าย..มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจขัดขืนความตายได้
แม้แต่คนที่ไม่คิดว่าจะตายจากไป……
“..แต่อันที่จริงก็สมควรแล้ว หมอนั่นมุทะลุวิ่งออกไปหาที่ตายเองไม่ใช่หรือไง? ถ้ารอให้รวมพลแล้วค่อยออกไปสู้ ก็คงไม่ต้องตายแล้วแท้ๆ”ยูมิลเอ่ยพร้อมแค่นหัวเราะ “ทำตัวเองไม่ใช่หรือไง เจ้าบ้านั่นน่ะ”
ตึง!!
มิคาสะที่เงียบมานานลุกขึ้นยืน ดวงตาสีดำสนิทกวาดมองเพื่อนทุกคนด้วยแววตาเอาเรื่องจนแต่ละคนสะดั้งเฮือกไปตามกัน ก่อนจะไปหยุดใบหน้าของยูมิล ซึ่งยังคงจ้องตากลับไปหาเด็กสาวอย่างไม่อีนังขังขอบ
“หรือว่าจะบอกว่าฉันพูดผิด?”
มิคาสะไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงต่อไป เด็กสาวตวัดใบหน้า ละจากดวงตาที่จ้องประสาน แล้วเดินตรงไปที่ประตูพร้อมเดินออกไปโดยไม่สนใจใคร
“มะ..มิคาสะ..รอเดี๋ยว!!”ก่อนรีบลุกขึ้นและวิ่งตามมิคาสะไปอย่างร้อนรน
ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่ได้ดีขึ้นแม้แต่น้อยของเหล่าเพื่อนร่วมรุ่นของผู้จากไป
+++++++++++++++++++++++++++++++++
“มิคาสะ รอเดี๋ยว!! รอด้วย!”อาร์มินที่วิ่งตามมาทีหลังหอบหายใจ มองเด็กสาวที่วิ่งกึ่งเดินนำหน้าตนไป กระทั่งเขาเริ่มออกวิ่งจนจับข้อมือของมิคาสะได้ ร่างสูงโปร่งของเด็กสาวผมดำถึงได้หยุดลง “อย่าไปคิดมากคำพูดของยูมิลเลย เขาแค่พูดไปตามธรรมดาเท่านั้น ..ไม่ใช่เหรอ?”
มิคาสะยังคงเงียบ ใบหน้าก้มนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด เห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มผมืองที่เตี้ยกว่าจึงถอนหายใจ ก่อนดึงมิคาสะมาให้มองหน้ากัน“ฟังนะ มคาสะ เอเลนไม่เป็นอะไรหรอก..นะ… เอเลนต้องปลอดภัยแน่ๆ เอเลนเคยรอดกลับมาแล้วนี่นา”
“…………………ฉันรู้”มิคาสะพึมพำ “ฉันรู้ดี…”
มิคาสะพึมพำพร้อมกับเกร็งร่าง สั่นสะท้านด้วยความไม่มั่นคง อาร์มินเงยมองเด็กสาวด้วยห้วงอารมณ์ที่ไม่ต่างกัน…ที่ต่างกันคงเพราะเขาไม่ได้ยึดมั่นในเอเลนเท่ามิคาสะ และเขา…เคยเห็นเอเลนเกือบตายไปต่อหน้าต่อตาไปแล้ว
นั่นทำให้เขามีความเชื่อว่าเอเลนจะต้องกลับมา…
“เอเลนต้องกลับมาแน่ๆ มิคาสะ”เด็กหนุ่มบีบมือของเพื่อน “ต้องกลับมา…อย่างแน่นอน”
++++++++++++++++++++++++
“เฮ้ รีไวล์ จะไปไหนน่ะ”อันซี่ที่ถูกเรียกตัวอย่างกะทันหันให้ไปตรวจสอบซากร่างของแลนร้องถามชายหนุ่มที่กำลังเดินไปยังทิศตรงข้ามกันตน “ไม่ต้องไปร่วมตรวจสอบหรือไง”
“หน้าที่ตรวจสอบเป็นของเอลวิน ไม่ใช่ฉัน”รีไวล์เอ่ยตอบไป แต่ไม่ทันได้เดินจากไป ฮันซี่ก็ร้องทักขึ้นอีกครั้ง
“รีไวล์!”
ชายหนุ่มชะงัก ก่อนหันไปทางหญิงสาวที่จ้องมองมาด้วยสีหน้ากึ่งกังวล ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงลังเล “นาย…โอเคไหม ที่เอเลนตาย”
รีไวล์หรี่ตาลง แล้วเสมองไปทางอื่น ก่อนกลอกกลับมามองแล้วว่าขึ้น“..ไม่ยักถามตอนคนทั้งหน่วยฉันตายไป”
“นั่นเพราะอย่างน้อยเอเลนก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่นี่..นาย..แทบไม่เหลือใครแล้ว ฉันถึงได้ถาม”ฮันซี่ว่าพลางสำรวจสีหน้าของชายหนุ่ม เธอไม่มั่นใจนักว่าตนจะอ่านมันออกไหมในเมื่อคนตรงหน้าไม่เคยแสดงอารมณ์ใดใดออกมา แต่ถึงอย่างนั้น.. จะด้วยเพราะเอเลนเป็นไททันที่สำคัญต่อมนุษยชาติ หรือเพราะรีไวล์พูดไว้ว่าจะดูแลเอเลนก็ตาม หญิงสาวก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเอาใจใส่เด็กหนุ่มพอควร
ดังนั้นเธอจึงเป็นกังวลว่าชายตรงหน้าอาจเสียศูนย์ตามไปด้วยอีกคน
“…..ฮันซี่”
“หืม?”
“เธอคิดว่าฉันเสียพวกพ้องไปเท่าไหร่แล้วตั้งแต่เป็นหน่วยสำรวจมา”รีไวล์เอ่ยเสียงเรียบ “แค่นี้มันไม่ได้กระเทือนนักหรอก จะไหนก็ไปซะ”
“…โอเค ได้อย่างนั้นก็ดี”หญิงสาวพึมพำ พร้อมกับหันไปขานรับเสียงเรีกจากทิศที่ตนจะไปแต่แรก ลัไม่ลืมหันมากำชับอีกฝ่ายอย่างจริงจัง“ที่เอเลนตายไม่ใช่ความผิดนาย เข้าใจดีสินะ”
รีไวล์ไม่ได้ตอบคำพูดของอีกฝ่าย ทว่าเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมา
+++++++++++++++++++++++++
“ที่เอเลนตายไม่ใช่ความผิดนาย เข้าใจดีสินะ”
.
.
.
เขาเข้าใจดี..เข้าใจลึกถึงกระดูกดำทีเดียว
ทหารเป็นสิ่งมีชีวิตที่จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ และประสบการณ์หลายสิบปีที่ผ่านมาก็ทำให้เขาชินชาไปเรียบร้อยแล้ว อันที่จริง..นอกจากลูกน้องของตน เขาไม่ใยดีความตายของใครเลยด้วยซ้ำ
แต่….
รีไวล์หรี่ตาลง ก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดของตัวเอง และเดินไปเรื่อยตามเส้นทางอิฐอันเงียบงัน
++++++++++++++++++++++++
ตอนที่เดินมาถึงห้องทำงานของตน ร่างของใครคนหนึ่งก็ยืนอยู่ตรงนั้น
ร่างนั้นสูงเลยเขาไปอักโข เส้นผมสีดำสนิทหยัดตรงล้อมกรอบใบหน้านั้นเอาไว้ ทรวดทรงบ่งบอกว่าเป็นเพศหญิง และเพราะในหน่วยไม่มีใครที่มีผมสีดำและไว้สั้นโดยไม่รวบนอกจากเด็กอัจฉริยะประจำรุ่น 104 เขาจึงเอ่ยชื่อของเจ้าตัวไป
“มิคาสะ แอกเกอร์แมน”ชายหนุ่มเรียกชื่อเต็มยศของอีกฝ่าย นัยน์ตาไล่มองชุดทหารเต็มยศพร้อมแขวนอุปกรร์เคลื่อนย้ายสามมิติ ก่อนจะเดินไปจนใกล้พอจะได้ยินเสียงพูดคุย “ทำไมถึงมายืนอยู่ที่นี่”
ทีแรก เด็กสาวไม่ได้ตอบในทันที มิคาสะเพียงหันมาดประจันหน้ากับรีไวล์ ก่อนทุบอกซ้ายทำความเคารพอย่างเคยชิน
ความเงียบโรยราครู่หนึ่ง และจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“……หัวหน้ารีไวล์”เด็กสาวพึมพำ ดวงหน้าซีดเซียวเงยมองร่างที่อยู่ตรงหน้าตน “คุณคิดว่าเอเลนตายไปแล้วจริง ๆ หรือคะ?”
“หลักฐานมากพอจะคิดแบบนั้น” รีไวล์ตอบคำถามของเด็กสาว
“มั่นใจจริงๆ เหรอคะ?”
“ถึงไม่มั่นใจก็ทำอะไรไม่ได้”
“…ถ้าออกตามหา”
“ถ้ามีเบาะแสเอลวินคงไม่ยอมปล่อยไป แต่การที่หมอนั่นประกาศไปแบบนั้น ก็แสดงว่าหมดหนทาง” รีไวล์ว่าพลางยกแขนขึ้นกอดอก แล้วมองเด็กสาวตรงหน้าตน “เธอจะออกไปหาคนเดียวก็ตามใจ ฉันไม่ได้ดีมากพอจะห้ามคนไปตาย..อย่างมาก ก็เสียทหารไปอีกคน”
มิคาสะกัดฟันกรอด ก่อนแตะลงบนด้ามดาบคมยาว พร้อมกับชักขึ้นมา
ขวับ!!
ครืดดดด!!
เสียงของแข็งลากแกรกกับกำแพงหิน หยุดลงที่ข้างใบหน้าของชายหนุ่มซึ่งยังคงทำหน้านิ่งราวกับเมื่อครู่ดาบบางเฉียบเล่มยาวไม่ได้กำลังแล่นปราดเข้าห้ำหั่นตน มิคาสะมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความคับแค้นใจ ก่อนที่มันจะค่อยๆคลายลง เป็นสีหน้าวิงวอน ไร้สิ้นหนทาง
“ทำไมคุณถึงไม่หวั่นไหวบ้างที่เอเลนจากไป…” มิคาสะเอ่ยเสียงระโหย “ทำไมถึงยอมให้ตาย….ทั้งๆ ที่..เขาเป็นตนของคุณ….เป็นลูกน้องของคุณ…..แล้วทำไมคุณไม่เสียใจ..ทำไมถึงไม่ได้ปกป้องเขา!!”
รีไวล์เงยมองเด็กสาวที่สั่นเทาอยู่ตรงหน้า ก่อนจะปัดแขนที่กำดาบไว้ออกจนมันร่วงหล่นลงกับพื้น และเอ่ยตอบอีกฝ่าย“ฉันไม่สามารถปกป้องคนที่ไม่ฟังคำสั่งของฉันได้…”
ชายหนุ่มหยุดไปเล็กน้อย นัยน์ตาจ้องตอบเด็กสาว ก่อนจะพูดต่อ “….ต่อให้ฉันอยากปกป้องแค่ไหนก็ตาม”
พอได้ยินแบบนั้น มิคาสะก็เบิกตากว้าง ในขณะที่รีไวล์เพียงหันมามองแวบหนึ่ง และเดินจากไป
มิคาสะรู้สึกเสียศูนย์ ขาเรียวยาวสั่นระริก เดินถอยหลังไปอย่างเจ็บปวดจนหลังพิงกำแพง
“เอเลน…..”มิคาสะครูดลงกับพื้น ก่อนกอดร่างตัวเองเอาไว้อย่างสั่นเทา
++++++++++++++++++++++++++++
เสียงฝีเท้าดังก้องในความเงียบสงัด
เส้นทางที่เขาก้าวเดินไปไม่มีใครผ่านไปมามากนัก ในเมื่อมันเป็นส่วนที่รกร้างและทำความสะอาดได้ยาก ทั้งฐานทัพชั่วคราวที่ใช้อยู่ยามนี้ก็กว้างมากพอที่จะอยู่รวมกัน จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้งานรีไวล์หลับตาลง รู้สึกเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูก ก่อนรำลึกถึงความทรงจำที่ผ่านมาไม่นาน…
ความทรงจำในตอนนั้น…..
.
.
.
.
‘เฮ้ย’เสียงทุ้มต่ำว่าขึ้น ในขณะที่สายตายังคงไม่ละไปจากเอกสารตรงหน้าตน ‘จะดึงเสื้อฉันอีกนานไหม’
คนที่กำลังดึงเสื้ออีกฝ่ายอยู่สะดุ้ง ก่อนเอามือออกราวกับต้องของร้อน ‘ขอโทษครับ หัวหน้ารีไวล์’
‘มีอะไรถึงมาเดินตามต้อยๆ แบบนี้’ ชายหนุ่มว่าพลางหันไปหาเด็กหนุ่มที่วันนี้เดินตามเขาทั้งวัน ทีแรกรีไวล์คิดว่าอีกฝ่ายคงมีอะไรจะพูดกับตน ถึงได้เงียบรอให้เอเลนถาม ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปครึ่งค่อนวันแล้ว และเด็กหนุ่มยังคงทำเพียงเดินตามเขา สุดท้ายเมื่อเจ้าตัวเริ่มดึงเส้อเขาราวกับเด็กหลงทาง รีไวล์จึงต้องทักขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
‘ไม่มีอะไรครับ ผมแค่..เอ้อ..อยากจะเดินตามหัวหน้า….เท่านั้นเอง’เจ้าตัวว่าพลางหัวเราะแห้งๆ ทว่าดวงตาที่จ้องเขม็งมากลับเหมือนจะบอกเขาว่า….รู้ว่าเขาโกหก
เอเลนนิ่งไปพักใหญ่ พร้อมดวงตาคู่คมหรี่หยันที่ยังคงจดจ้องมองเขาไม่เลิก สึดท้ายเอเลนเลยต้องยอมแพ้ บอกความคิดที่แท้จริงของตนไป
‘ผมแค่…กลัวว่าถ้าละสายตาไปจากหัวหน้า แล้วหัวหน้าจะหนีหายไปน่ะครับ’ เอเลนพึมพำบอก ‘ผม…ไม่อยากหัวหน้าหายไปจากสายตา ผมกลัวว่าหัวหน้าจะ….’
กลัวว่าจะตายจากเขาไปอีกคน……..
เอเลนคิดในใจพลางก้มหน้าลง หวังจะหลบไม่ให้อีกฝ่ายเห็นสีหน้า ทว่าจะด้วยอะไรก็ตาม ชายหนุ่มก็รู้อยู่ดีวก่าเด็กบ้าตรงหน้าตนกำลังคิดอะไร
‘ฉันไม่ตายง่ายๆ หรอก’ รีไวล์ตอบเสียงฉะฉาน ‘คนที่จะตายก่อนคงเป็นนายนั่นล่ะ’
‘หัวหน้า..แช่งกันซึ่งๆ หน้าเลยนะครับ’ เอเลนเอ่ยตอบเสียงระโหยทั้งๆ ที่ยังไม่เงยหน้า
‘ก็แล้วใครใช้ให้นายแช่งฉันก่อน?’
เอเลนหัวเราะแห้งๆ ทว่าความหนักหน่วงของสิ่งที่กังวลอยู่กลับไม่ได้หายไป สุดท้ายรีไวล์จึงถอนหายใจเฮือก ดึงศีรษะของเด็กหนุ่มที่สูงกว่ามาวางไว้บนไหล่ตน
‘ฉันไม่ตายก่อนนายแน่ๆ’ รีไวล์เอ่ยบอกเสียงแข็ง ‘รู้แค่นั้นพอ’
ตอนนั้นเขาจำได้ว่า….เด็กบ้านั่นหัวเราะออกมา เหมือนว่าจะมีอะไรอุ่นๆหยดลงบนบ่าเขา แต่เขาไม่ได้สนใจ
จากนั้นเด็กบ้านั่นก็เงยหน้าขึ้น หันมายิ้มทำหน้ากวนโอ๊ยว่าข้าสามารถเหมือนเดิม แล้วก็เลิกเดินตามเขา หันไปหางานทำให้เลิกว่าง
แต่หลังจากนั้น เมื่อมีเวลาว่าง ทั้งจากภารกิจ จากการรวมกลุ่มกับเพื่อนฝูง เด็กบ้าคนที่ว่าก็จะหาเวลามาหาเขา อาจจะเป็นคนเดินเอกสาร เอาน้ำชามาให้ สารพัดสิ่งที่จะอ้างเพื่อให้ได้มาพบเขา..การกระทำที่มากพอให้เขารู้สึกว่ามันเหมือนลูกหมา มากพอให้เขาเผลอคิดว่ามันสำคัญ
แล้วสุดท้ายเกิดอะไรขึ้น
เจ้าเด็กบ้าที่บอกว่ากลัวเขาจะจากไป….ก็กลับมาจากเขาไปเสียเอง
รีไวล์แค่นหัวเราะ ก่อนจะถีบผนังอย่างแรงโดยไม่สนว่าโครงสร้างเก่าแก่จะถล่มลงมา พร้อมกับเดินหายไปในความมืดที่เงียบเหงา
.
.
.เพื่อที่จะ…ฝังความปวดร้าวไว้ในรัตติกาล
Untitled.
.
.
.
End
+++++++++++++++++++++++++++++++
กึก…กึก…
กึก..
แอ๊ด………..
ในห้องมิดสนิท ทว่าไร้ฝุ่น
โครงสร้างรำไรที่เห็นจากแสงจันทร์บอกว่านี่เป็นห้องทรงกลมที่ฝังไว้ใต้ดิน มีหน้าต่างเพียงจากช่องว่างเบื้องบนที่ส่องกระทบยังอีกมุมหนึ่งของห้อง
เสียงหอบฮักดังจากภายใน พร้อมเสียงสายโว่ที่ดังกระทบไปมา ร่างร่างหนึ่งที่นั่งในนั้นชะงักกึกไป ก่อนจะเงยมองหน้าผู้มาใหม่ที่เดินเข้ามาพร้อมกับแสงเทียน
“ว่าไง ห้องใต้ดินนี่สบายดีหรือเปล่า”เจ้าตัวว่าพลางส่องแสงเทียนเข้าหาร่างที่นอนนั่งกึ่งยืนอยู่บนเตียง เสียงโซ่ถูกกระชากดังก้อง พร้อมเสียงคำรามเบาๆ ด้วยความเจ็บ “ฉันทำความสะอาดเอาไว้ น่าจะสะอาดพอล่ะนะ”
ยิ่งสาดแสงเทียนเข้าไป ก็ยิ่งเห็นร่างที่นั่งเพียงหนึ่งเดียวอยู่ในนั้น
ร่างนั้นเป็นเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มตัดซอยสั้น ดวงตาคมกล้าที่เปล่งประกายจ้าสีเขียวสว่าง รูปร่างของเด็กหนุ่มติดจะบางไปบ้าง ทว่าสมส่วนกับความสูง
ร่างนั้นกำลังเบิกตากว้าง หอบหายใจหนัก ข้อมือมีรอยเลือดซึมเนื่องด้วยเสียดสีกับงโลหะสีดำที่คล้องข้อมือไว้อยู่
เครื่องแต่งกายของเด็กหนุ่มเหลือเพียงเสื้อผ้าฝ้ายสีน้ำตาลตัวในกับกางเกงที่ขาดเหลือเพียงถึงเข่า และดูจะเปรอะเปื้อนโลหิตที่ไหลรินออกมาของเจ้าตัวไปบ้าง
“หัวหน้า…”ร่างนั้นมองผู้ที่เดินเข้ามาด้วยความตกใจ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสับสน ท่าทีระแวงภัยราวกับสัตว์ป่ายามถูกรุกราน “ที่นี่ที่ไหน…..ทำไม…ผมถึงอยู่ที่นี่…”
“อยากให้ฉันตอบคำถามนักเหรอ?”
“หัวหน้า ไม่ตลกนะครับ! ผมอยู่ที่ไหน ทั้งที่ผมออกไป…..อั่ก!!” เด็กหนุ่มร้องลั่น เมื่อถูกอีกฝ่ายจับศีรษะกดลงบนเตียง พร้อมกับจับให้เขานอนคว่ำหน้า และนำมือทั้งสองไปไขว้ไว้ที่ด้านหลัง “หัวหน้ารีไวล์! คุณทำอะ..อึก!”
“อยากรู้สินะ..ได้ ฉันจะบอกนาย”เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างใบหู ในขระที่คร่อมเด็กหนุ่มเอาไว้ มือข้างหนึ่งที่เว้นวางจากการจับแขนเด็กหนุ่มไขว้หลังลากไล้อ่อยอิ่งไปที่สะโพก ก่อนเคลื่อนกางเกงลงอย่างเชื่องช้า “แต่…
.
.
.
ต้องหลังจากที่ฉันลงโทษนายล่ะนะ เอเลน”
.
.
.
หึ
Untitled
U n t i l e d.
.
.
“To Make You Mine”
.
.
.
True Ending
++++++++++++++++++++++++
เป็นไงบ้างคะทุกท่าน ความรู้สึกที่ถูกหลอก
เรื่องนี้แต่งด้วยอารมณ์อีมครึมมาก ใครที่อ่านจนจบ ขอชมจริงๆค่ะ
สำหรับ To Make You Mine มีโครงการจะเขียนต่อ แต่ไม่รู้จะจบไหม จึงถือว่าเป็นการจบบริบูรณ์ไปในตัวด้วยนะคะ สำหรับฟิคนี้
สุดท้ายนี้…
ขอคอมเมนต์ค่ะ =.,= (ทำหน้า S )
ผลงานอื่นๆ ของ sinnerdarker ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ sinnerdarker
ความคิดเห็น